Announcement

Collapse
No announcement yet.

“กราฟีน” วัสดุบางสุดในโลก ซ็อค วงการอิเล็กทรอนิสไปตลอดกาลที่จะฆ่า กฎของมัวร์

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • “กราฟีน” วัสดุบางสุดในโลก ซ็อค วงการอิเล็กทรอนิสไปตลอดกาลที่จะฆ่า กฎของมัวร์

    โนเบลฟิสิกส์ให้คู่ศิษย์-อาจารย์ ผู้พัฒนา “กราฟีน” วัสดุบางสุดในโลก


    โนเบลฟิสิกส์ 2010 ยกให้ 2 นักฟิสิกส์คู่ศิษย์อาจารย์ผู้พัฒนา “กราฟีน” แผ่นคาร์บอนบางแค่ 1 อะตอม แต่มีคุณสมบัติพิเศษกลายเป็นสุดยอดวัสดุทั้งแข็งแรงและบางเบา แถมนำไฟฟ้าได้ ประยุกต์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อาจแทนที่ทรานซิสเตอร์ซิลิกอนในอนาคต และนำไปสู่คอมพิวเตอร์ทรงประสิทธิภาพ

    ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (The Royal Swedish Academy of Sciences) ประกาศให้ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2010 คือ อังเดร ไกม์ (Andre Geim) และ คอนสแตนติน โนโวเซลอฟ (Konstantin Novoselov) จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (University of Manchester) สหราชอาณาจักร “ในฐานะผู้พัฒนาแผ่นกราฟีน 2 มิติ” เมื่อวันที่ 5 ต.ค. เวลา 16.45 น. ตามเวลาประเทศไทย



    ภาพจำลองแผ่นกราฟีนที่พลิ้วเหมือนลูกฟูก เผยแพร่โดยมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สิ่งที่เห็นในภาพคือการค้นพบของไกม์และโนโวเซลอฟ นักฟิสิกส์ในสังกัด (UNIVERSITY OF MANCHESTER)

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานความเห็นของคณะกรรมการฯ ว่า ทั้ง 2 คนได้ทำให้เห็นว่าคาร์บอนจะอยู่ในรูปบางที่สุดได้แค่ไหน โดยพวกเขาสามารถทำให้แผ่นคาร์บอนบางได้เพียง 1 อะตอม ซึ่งสร้างคุณสมบัติพิเศษ ที่เป็นต้นกำเนิดของโลกแห่งฟิสิกส์ควอนตัม

    ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานคำแถลงของคณะกรรรมการฯ เพิ่มเติมว่า

    กราฟีนนั้นเป็นรูปแบบของคาร์บอนที่สามารถนำไฟฟ้าได้ และกราฟีนยังเป็นการจัดเรียงอะตอมที่สมบูรณ์อีกด้วย

    ข้อมูลจากเว็บไซต์รางวัลโนเบลระบุว่า กราฟีนคือการเรียงตัวรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน และเป็นตัวอย่างหนึ่งของวัสดุที่มีความสมบูรณ์แบบ คือ มีความบางที่สุดเพียง 1 อะตอม และยังแข็งแรงที่สุดอีกด้วย อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้าได้ดีพอๆ กับทองแดง และยังนำความร้อนได้ดีกว่าวัสดุใดๆ ที่เรารู้จัก

    นอกจากนี้ ยังมีความโปร่งใสแต่ทึบ จนแม้ฮีเลียมซึ่งเป็นอะตอมของก๊าซที่เล็กที่สุดก็ไม่สามารถผ่านได้ และครั้งนี้คาร์บอนซึ่งเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่เราอีกครั้ง

    ไกม์และโนโวเซลอฟได้แยกกราฟีนออกจากกราไฟต์ ซึ่งก็คือส่วนประกอบของไส้ดินสอ แล้วใช้เทปกาวใสจัดการกับผลึกคาร์บอนให้ได้ความหนาเพียง 1 อะตอม นับวัสดุที่บางที่สุดในโลก แต่หลายคนไม่เชื่อว่าวัสดุที่มีผลึกบางแค่นั้นจะเสถียรอยู่ได้ อย่างไรก็ดี ตอนนี้นักฟิสิกส์สามารถศึกษาวัสดุ 2 มิติประเภทใหม่ ที่มีคุณสมบัติเฉพาะด้วยแผ่นกราฟีนนี้ได้

    ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย จึงมีการประยุกต์ใช้กราฟีนเพื่อพัฒนาวัสดุและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เห็นบ้างแล้ว โดยคาดว่าทรานซิสเตอร์จากกราฟีนจะเร็วกว่าทรานซิสเตอร์จากซิลิกอนที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ และจะทำให้ได้คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น



    นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลประจำปี 2010 (ซ้ายไปขวา) โนโวเซลอฟ และ ไกม์ (เอเอฟพี)

    อีกทั้งคุณสมบัติโปร่งแสงและเป็นตัวนำที่ดีทำให้กราฟีนเหมาะที่จะพัฒนาเป็นหน้าจอสัมผัสหรือทัชสกรีน แผงไฟส่องสว่าง หรือแม้กระทั่งเซลล์แสงอาทิตย์

    นอกจากนี้ หากผสมพลาสติกกับกราฟีนจะได้ตัวนำไฟฟ้าที่ต้านความร้อนได้และแข็งแรงด้วย ซึ่งความยืดหยุ่นนี้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเป็นสุดยอดวัสดุที่ทั้งบาง ยืดหยุ่นและเบา โดยในอนาคตสามารถใช้วัสดุใหม่นี้ได้ในการผลิตดาวเทียม เครื่องบินและรถยนต์

    ทั้งนี้ ไกม์และโนโวเซลอฟทั้งคู่เป็นชาวรัสเซียโดยกำเนิด ซึ่งไกม์เกิดที่เมืองโซชี อดีตสหภาพโซเวียตในปี 1958 ศึกษาจนได้ปริญญาเอกในปี 1987 จากสถาบันโซลิด สเตท ฟิสิกส์ (Institute of Solid State Physics at the Russian Academy of Sciences.) ก่อนหน้านั้นในปี 1982 ไกม์ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งปริญญาโทวิทยาศาสตร์ จากสถาบันมอสโกว ฟิสิคัล-เทคนิค (Moscow Physical-Technical Institute) จากนั้นไปเป็นอาจารย์ฟิสิกส์ประจำมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์

    ขณะที่โนโวเซลอฟ เกิดที่นิซไนย์ทากิล ประเทศรัสเซีย ในปี 1974 และได้เข้าศึกษาระดับปริญญาโท ที่สถาบันเดียวกันกับไกม์ (แต่ตามหลัง) ในปี 1997 จากนั้นโนโวเซลอฟได้ศึกษาระดับปริญญาเอก และได้ร่วมงานกับไกม์ที่เนเธอร์แลนด์ ในฐานะลูกศิษย์ในที่ปรึกษา จากนั้นก็ติดตามไกม์มาที่อังกฤษ

    ทั้งคู่ได้ทำงานวิจัยร่วมกัน จนกระทั่งปี 2008 พวกเขาก็ได้รับรางวัลยูโรฟิสิกส์ (Europhysics prize) ในฐานะที่ค้นพบและแยกชั้นอะตอมเดี่ยวๆ ของคาร์บอน (สามารถแยกกราฟีนออกจากการ์ไฟต์) ออกมาได้ ซึ่งทำให้เกิดข้ออธิบายว่าคาร์บอนจะสามารถนำไฟฟ้าได้อย่างไร

    ปัจจุบันไกม์อายุ 51 ปีและมีสถานภาพเป็นพลเมืองดัตซ์ยังคงทำงานร่วมกับโนโวเซลอฟวัย 36 ปี ที่ได้เป็นพลเมืองอังกฤษ-รัสเซีย ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ โดยทั้งคู่จะได้รับรางวัลร่วมกัน 10 ล้านโครน หรือ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ




    เราใช้เทปกาวเราใช้เพื่อจัดเรียงโครงสร้างอะตอมคาร์บอน โดยใช้แรงดึงแยกชั้นกราไฟต์ให้ได้ออกมาเป็นกราฟีนซ้ำไป-ซ้ำมา 3-10 รอบ (Scientific American)

    "กราฟีน" วัสดุที่มีจุดเริ่มต้นจากเทปกาวจะเป็นความหวังของวงการอิเล็กทรอนิกส์ ที่ไม่จำกัดอยูภายใต้กฎของมัวร์อีกต่อไป (Scientific American)

    “กฎของมัวร์” บอกว่าทรานซิสเตอร์ที่ใส่ลงไปในชิปจะเพิ่มเป็น 2 ทุกๆ 18 เดือน และที่สุดทรานซิสเตอร์ซึ่งอัดแน่นจะทำให้ชิปร้อนขึ้นและลดประสิทธิภาพลง แต่ด้วย “กราฟีน” วัสดุที่คิดค้นโดย 2 นักฟิสิกส์ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลจะทำให้เราไม่ต้องเผชิญปัญหาดังกล่าวอีกต่อไป

    เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ต้องขึ้นอยู่กับ “กฎของมัวร์” (Gordon Moore) ที่ตั้งชื่อตาม กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตชิปอินเทล (Intel) ซึ่งกฎดังกล่าวระบุว่า จำนวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถใส่ลงไปในชิปนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 18 เดือน นั่นอธิบายได้ถึงความเร็วและความจุของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยุคปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    กฎดังกล่าว ซึ่งทำนายโดยมัวร์นั้นคงอยู่จนถึงกลางทศวรรษ 1970 และยังคงเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า จะเป็นเช่นนั้นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะประมาณการณ์ว่า ในช่วงต้นปี 2015 วิศวกรที่ยังใช้งานซิลิกอนหรือวัสดุอื่นๆ ที่ใช้ก่อนหน้านี้จะเผชิญกับข้อจำกัดของการย่อส่วน เมื่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากต้องอัดแน่นอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นและส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง

    “เพชรอาจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้หญิง แต่สำหรับกราฟีนนั้นให้วิธีใหม่ในการใส่อิเล็กตรอนเข้าไปในคาร์บอนได้อย่างคาดไม่ถึง” มาร์แชล สโตนแฮม (Marshall Stoneham) ผู้อำนวยการสถาบันฟิสิกส์ในลอนดอน (Institute of Physics in London) ให้ความเห็น

    ตามทฤษฎีแล้วทรานซิสเตอร์จากกราฟีนนั้น มีความเร็วมากกว่าทรานซิสเตอร์จากซิลิกอนสูงมาก อีกทั้งยังรับกับอุณหภูมิที่สูงกว่าได้ดีกว่าด้วย นอกจากนี้กราฟีนซึ่งโปร่งแสงจนเกือบจะใสแจ๋วนั้น ยังเหมาะที่จะนำไปทำหน้าจอสัมผัส แผงไฟส่องสว่างและอาจรวมถึงเซลล์แสงอาทิตย์ได้ และหากรวมเข้ากับพลาสติกแล้วโครงสร้างผลึกคาร์บอนของกราฟีนจะทำให้ได้วัสดุที่แข็งแรงและทนความร้อน ซึ่งสามารถนำวัสดุประเภทนี้ไปใช้กับดาวเทียม เครื่องบินหรือรถยนต์ทรงสมรรถนะได้ในอนาคต

    “กราฟีนเป็นที่รู้จักในฐานะวัสดุมหัศจรรย์ ไม่เพียงแค่เป็นวัสดุที่บางที่สุดในจักรวาล แต่ยังแข็งแรงที่สุดเท่าที่เคยวัดได้ มันรองรับกระแสไฟฟ้าได้มากกว่าทองแดงหลายล้านเท่า” ไกม์ นักฟิสิกส์ที่เพิ่งได้รับรางวัลโนเบลหมาดๆ กล่าว และอธิบายถึงการทดลองปรากฏการณ์ระดับควอนตัมของวัสดุชนิดนี้ซึ่งยังได้ผลออกไม่ครบ โดยปีที่แล้วเขายังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจากราชบัณฑิตแห่งอังกฤษอีกด้วย

    ทั้งนี้ ทฤษฎีเกี่ยวกับกราฟีนเริ่มขึ้นเมื่อปี 1947 แต่เป็นเวลาหลายทศวรรษที่นักฟิสิกส์ทั้งหลายคิดว่า วัสดุชนิดนี้ไม่สามารถอยู่ได้เดี่ยวๆ เนื่องจากแผ่นผลึกบางนี้รวมตัวกันอย่างไม่เสถียร หากแต่เมื่อปี 2004ไกม์และโนโวเซลอฟได้แสดงให้เห็นความฉลาดและเทคโนโลยีราคาถูกที่ทำได้จริง โดยมีความพยายามในการใช้เทปกาวธรรมดาๆ ดึงผลึกจากชิ้นกราไฟต์ ซึ่งเป็นรูปแบบของคาร์บอนที่พบได้ในไส้ดินสอ

    ตอนนี้กราฟีนยังเป็นได้เพียงวัสดุในห้องทดลอง ซึ่งผลิตได้เป็นเพียงผลึกที่เล็กยิ่งกว่าเศษเสี้ยวของมิลลิเมตร จึงเล็กเกินกว่าที่จะนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ยุโรปได้สาธิตให้เห็นว่าจะผลผลึกกราฟีน 1 ชั้นบนวัสดุชนิดอื่นที่อยู่บนซิลิกอนคาร์ไบด์ (silicon carbide) อีกชั้นหหนึ่งได้



    http://www.rmutphysics.com/ อ้างอิงจาก

  • #2
    โนเบลฉาว!!! นักฟิสิกส์เปิดฉากฟัดกันนัว!!!
    ถ้าผลงานแค่นี้ได้โนเบล ผลงานของตูก็ต้องได้โนเบลเช่นเดียวกัน!!!


    รางวัลโนเบลทำพิษ นักฟิสิกส์เปิดฉากฉะกันนัว

    Sat, 20/11/2010 - 02:40

    รู้สึกว่าพักหลังๆ นี้ผลประกาศรางวัลโนเบลจะเป็นเรื่องเป็นราวกันให้นินทากันสนุกปากดีจริงๆ คราวปีที่แล้ว (2009) ที่ บารัค โอบามา ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปแบบขัดสายตาชาวโลกนั่นก็รับคำติคำชมกันไป จุกรอบวง (คำชมไม่เท่าไร แต่เสียงคำตินี่ดังข้ามปี)

    มา ปี 2010 นี้ เรื่องสนุกกลับมาจากทางฝั่งของรางวัลสาขาฟิสิกส์ ซึ่งผู้ได้รับรางวัลคือ Andre Geim กับ Konstantin Novoselov จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร ในฐานะผู้สร้างความก้าวหน้าในการศึกษาวิจัยกราฟีน (graphene) ใครอยากรู้จักกราฟีนเพิ่มเติมก็ไปหาอ่านที่อื่นเอาเอง ในตอนนี้เราไม่สน เราจะสนแต่เรื่องคนตีกัน

    คณะกรรมการรางวัลโนเบลใช้ อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินนั้นเป็นเรื่องที่คงไม่มี ใครทราบ แต่ที่แน่ๆ มีนักวิทยาศาสตร์ในวงการกราฟีนไม่พอใจกับผลการประกาศนี้หลายคน หัวหอกที่ลุกขึ้นมาวิจารณ์คณะกรรมการในเรื่องนี้ คือ Walt de Heer แห่ง Georgia Institute of Technology จนถึงกับร่อนจดหมายไปถึงคณะกรรมการรางวัลโนเบลเลย เนื้อความในจดหมายชี้ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารประกอบผลประกาศไว้หลายจุด ด้วยกัน ลองไปอ่านฉบับเต็มได้จาก www.gatech.edu/graphene/

    ในจดหมาย อาจจะเป็นเรื่องทางวิชาการล้วนๆ ไม่มีอารมณ์เท่าไร แต่เวลาให้สัมภาษณ์นักข่าวนี่ De Heer ปล่อยเต็มที่เลย มีประโยคหนึ่งถึงกับบอกว่า "คณะกรรมการรางวัลโนเบลไม่ได้ทำการบ้านมา"

    The Nobel Prize committee did not do its homework.

    อย่านึกว่า Geim จะอยู่เฉย พี่แกก็ออกมาสวนกลับเหมือนกัน หาว่า De Heer เป็นพวกอยากดัง เลยออกมาหาเรื่องโจมตีคณะกรรมการรางวัลโนเบลให้เป็นข่าว อูย แรงได้อีก

    If he complains about Stockholm, some people might start thinking that he contributed something important.

    เรื่องนี้ก็อาจจะมีมูลเหมือนกันนะ เพราะตัว De Heer เองก็จดสิทธิบัตรการใช้กราฟีนในงานอิเล็กทรอนิกส์ ไว้หลายตัวเหมือนกัน ใครว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนลึกลับซ่อนเงื่อนพิสดารมีแต่เฉพาะในแวดวงการ เมือง วงการนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน

    ประเด็นหลักๆ เลยที่คณะกรรมการรางวัลโนเบลถูกโจมตีก็คือ เรื่องการให้ความสำคัญกับผลงานตีพิมพ์ของ Andre Geim กับ Konstantin Novoselov ในปี 2004 มากจนเกินไป เช่น รูป Figure 3 ในเอกสารที่เอามาจากผลงานตี พิมพ์ปี 2004 แล้วบอกว่าได้มาจากกราฟีนที่เป็นชั้นของอะตอมคาร์บอนชั้นเดียว จริงๆ แล้วรูปข้อมูลที่ได้มาจากชั้นของกราฟีนที่เรียงซ้อนกันหลายชั้น หรือ few-layer graphene (FLG) หรืออีกชื่อที่รู้จักกันดีคือ กราไฟท์ (graphite) แต่เรื่องนี้ Geim เจ้าของรางวัลก็ออกมาชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะยังไงซะทีมของเขาก็ได้รายงานผลคล้ายกันนี้ในปี 2005 จากการทดลองกับกราฟีนชั้นเดียวไปแล้ว

    เรื่องยังไม่จบ เพราะในเอกสารประกอบผลประกาศนั้นยังมีอีกรูปที่หลายคนยังข้องใจอยู่ คือ Figure 4 ซึ่งมีรูปสองรูป รูปหนึ่งทางซ้ายเป็นของ Novoselov กับ Geim อันนี้ไม่มีใครติดใจ แต่รูปทางขวามันเป็นผลงานของนักฟิสิกส์อีกคน แต่คำบรรยายใต้ภาพดันอ้างถึงงานของ Novoselov กับ Geim สองครั้ง ชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าทั้งสองรูปมาจากงานของทั้งสองคนเท่านั้น

    นักฟิสิกส์ที่โดนพาดพิงในรูป Figure 4 คือ Philip Kim แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งถ้านับกันตามเนื้อผ้า ผลงานของ Kim ในปี 2005 นี้มีความสำคัญสูสีกับผลงานของ Novoselov กับ Geim ในปีเดียวกันเลย แม้แต่ตัว Geim เองยังยอมรับ ถึงกับออกปากว่ายินดีที่จะรับรางวัลร่วมกันกับ Kim ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี Kim กลับยอมรับผลการตัดสินของคณะกรรมการรางวัลโนเบล ไม่ออกมาโต้เถียงอะไร (โห! พระเอกมากๆ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่สนใจ เพราะเราจะดูคนตีกัน)

    และเรื่องที่ฉาวที่สุดในเอกสารนั้นก็คือ การที่บอกว่างานของ Novoselov กับ Geim ในปี 2004 ดุจดังดวงประทีปชี้ทางสว่างให้กับงานเกี่ยว กับกราฟีนซึ่งก่อนหน้านี้เคยคิด ว่าไม่สามารถแยกออกมาได้และเป็นสารที่ไม่เสถียร ในจุดนี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนเข้าข้าง De Heer กระโดดเข้ามา คลุกวงใน ตัวอย่างเช่น Paul McEuen แห่ง Cornell University in Ithaca ก็ออกมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างนี้ McEuen ยืนยันว่ากราฟีนมันสร้างได้ก่อนปี 2004 แน่ๆ และนักวิจัยหลายกลุ่มก็มีผลงานอุทิศให้กับเรื่องนี้มากมาย ผลงาน Novoselov กับ Geim ในปี 2004 ไม่ได้ดีเลิศเลออะไรขนาดนั้น ถ้าจะให้ความดีความชอบก็ควรจะให้กับผลงานของ Novoselov กับ Geim ในปี 2005 และผลงานของ Kim ในปีเดียวกันมากกว่า แบบนั้นยังพอจะฟังขึ้น

    เมื่อโดนวิจารณ์หนักเข้า Novoselov กับ Geim เจ้าของรางวัล และ Ingemar Lundstrm กรรมการรางวัลโนเบล ก็ออกมาขานรับเป็นเสียงเดียวกัน ยืนยันในจุดยืนเดิมว่างานของ Novoselov กับ Geim ในปี 2004 มีความสำคัญจริงๆ ก่อนหน้านั้นแม้จะพอมีนักวิทยาศาสต์เชื่อว่ากรา ฟีนทำได้อยู่บ้าง แต่ก็มีปริมาณน้อยมากๆ แต่หลังจากที่ผลงานปี 2004 ตีพิมพ์ นักวิทยาศาสตร์หลายคนจึงได้หันความสนใจมาศึกษากราฟีนกันมากขึ้น ดูได้จากจำนวนการอ้างอิงถึง 3,357 ครั้ง (ตัวเลขจาก Web of Knowledge citation index)

    ตอนนี้กระแสของฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็น ด้วยกับผลรางวัลก็ยังคง ปะทุอยู่เนืองๆ ผ่านสื่อข่าววิทยาศาสตร์ เอกสารประกอบผลรางวัลที่ว่าก็ได้รับการแก้ไขแล้วในบางจุด แต่ส่วนใหญ่จะแก้เรื่องการตกหล่นชื่ออ้างอิงเสียมากกว่า ประเด็นร้อนหลักๆ ยังอยู่แทบจะครบถ้วน

    รอดูวันที่ 10 ธันวาคม ปี 2010 นี้ ว่าจะมีม็อบนักฟิสิกส์ไปปิด Stockholm Concert Hall มั้ย? ว่าแต่นักฟิสิกส์นี่เขาใช้สีอะไรกันอะ :P

    ที่มา Scientific American

    http://www.scientificamerican.com/ar...ittee-under-fi

    http://jusci.net/node/1355?utm_sourc...ith+science%29

    Comment


    • #3
      ผมได้ยินก็ไอ้ตอนบ้า G.I. Joe แล้วเลยลองหาพวกวัสดุดูนี่แหละ


      วัสดุที่แข็งแรงที่สุดในโลก ละมั้งตอนนั้นที่หา

      Comment


      • #4
        ชื่ออย่างกะสารเสพย์ติดเลยแฮะ

        Comment


        • #5
          แจ่ม ใกล้ความเป็นจริงที่ว่าจะฝังวงจรลงตามเสื้อผ้า หรืออุปกรณ์ต่างๆ

          Comment


          • #6
            Originally posted by sonkub View Post
            แจ่ม ใกล้ความเป็นจริงที่ว่าจะฝังวงจรลงตามเสื้อผ้า หรืออุปกรณ์ต่างๆ
            อยากเห็นเสื้อผ้าล่องหนได้

            Comment


            • #7
              ดีครับ ลืมไปละกฎของมัวร์เป็นยังไง เรียนฟิสิกส์แท้ๆ 55+

              Comment


              • #8
                Originally posted by Pause_Bra View Post
                ดีครับ ลืมไปละกฎของมัวร์เป็นยังไง เรียนฟิสิกส์แท้ๆ 55+
                น่าจะหมายถึงการพัฒนาเป็นลำดับครั้ง ทุกๆช่วงจะเพิ่่มขึ้นเท่าๆกัน ใช้เวลาเท่าๆกัน
                เหมือนตอน CPU ที่บอกไว้ว่า CPU จะเพิ่ม Hz ทุกๆ 2 ปี จนสุดท้ายตันที่ 4GHz แล้วกลายมาเป็น Multi core กฏก็เลยพังไป

                Comment


                • #9
                  รูปอธิบายผิดนะครับ

                  คนซ้ายคือ ไกม์ นะครับ ส่วนคนขวาคือ โนโวเซลอฟ ^^

                  Comment


                  • #10
                    โนเบลเสี่ยงมากเลยนะเนี่ย...

                    ถ้ากราฟีนเกิดไม่ฮิตในวงกว้างขึ้นมานี่... มีหน้าแหกกันแน่ๆ

                    Comment


                    • #11
                      0.0

                      Comment


                      • #12
                        เคยอ่านนานแล้ว แต่พึ่งเคยอ่าน ว่ามีคนด่า อิๆ

                        Comment


                        • #13
                          มันอาจจะเป้นการค้นพบที่เป็นการปฏิวัติโลกก็ได้นะ

                          Comment


                          • #14
                            น่าจะหมายถึงการพัฒนาเป็นลำดับครั้ง ทุกๆช่วงจะเพิ่่มขึ้นเท่าๆกัน ใช้เวลาเท่าๆกัน
                            เหมือนตอน CPU ที่บอกไว้ว่า CPU จะเพิ่ม Hz ทุกๆ 2 ปี จนสุดท้ายตันที่ 4GHz แล้วกลายมาเป็น Multi core กฏก็เลยพังไป
                            กฏของมัวร์กล่าวว่าจำนวน transistor บนชิป จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 18 เดือนครับ
                            CPU มันก็เพิ่มจำนวน transistor ไปเรื่อยๆตามกฏของมัวร์แหละครับ แต่ที่มันไม่มากกว่า 4GHz เพราะความร้อน เลยพัฒนาโดยการเพิ่ม Core แทน

                            Comment


                            • #15
                              ผมเหมื่อนจะเคยอ่านข่าวนี้เมื่อ หลายอาทิตที่ผ่านมา หรือ เดือนนี่หละลืมละ รู้สึกว่าไทยเราก็ ผลิตเองได้เเล้วนะ เเต่ที่ผมอ่านรู้สึกจะอ่านมาจาก Mthai









                              เป็นความตื่นเต้นลึกๆ ของคนทำวิจัยในเรื่องเดียวกัน เมื่อผู้บุกเบิกการสังเคราะห์ “กราฟีน” คว้ารางวัลโนเบลไปในปีนี้ และความตื่นเต้นยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อภาพถ่ายระดับนาโนชี้ชัดว่า สิ่งที่นักวิจัยของไทยสังเคราะห์ขึ้นมานั้นเป็นวัสดุชนิดเดียวกัน

                              เมื่อ 6 เดือนก่อน ดร. อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้อำนวยการหน่วยปฏิบัติการนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พร้อมทีมวิจัยมีแนวคิดที่จะพัฒนาเซนเซอร์ซึ่งมีความไวมากขึ้นโดยใช้เทคนิคการพิมพ์ จึงสนใจสังเคราะห์กราฟีน (Graphene) ขึ้นมาเป็นส่วนผสมของน้ำหมึก แทนที่จะซื้อมาผสมเหมือนงานวิจัยที่มีอยู่ทั่วโลก

                              ทั้งนี้ กราฟีนเป็นวัสดุชนิดใหม่และเป็นอีกรูปแบบในการจัดเรียงตัวของคาร์บอนเป็น 2 มิติ คือมีเพียงความกว้างและความยาว โดยมีความหนาเพียงอะตอมชั้นเดียว ซึ่งความหนาอุดมคติของกราฟีนอยู่ที่ 0.335 นาโนเมตร แต่ยังไม่เคยมีใครวัดได้จริง เพราะวัดได้ยากมากเนื่องจากมีอิเล็กตรอนวิ่งอยู่รอบๆ เหมือนเป็นกลุ่มเมฆปกคลุม

                              ดร.อดิสรซึ่งเปิดห้องปฏิบัติกล่าวให้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้เข้าไปชมผลงานการวิจัยกราฟีน กล่าวว่าทางห้องแล็บของเขาหันมาสนใจกราฟีนเพราะมีผลงานเรื่องนี้ตีพิมพ์ใหม่ออกมาทุกวัน และทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับวัสดุชนิดใหม่นี้ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาตินานแล้ว แต่เพิ่งสังเคราะห์ขึ้นมาได้เมื่อปี 2004 โดย ดร.อังเดร ไกม์ (Dr.Andre Geim) และ ดร.คอนสแตนติน โนโวเซลอฟ (Dr.Konstantin Novoselov) คู่อาจารย์-ศิษย์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (University of Manchester) และเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2010

                              กราฟีนมีคุณสมบัติที่โดดเด่นคือ นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดง 4 เท่า มีพื้นที่ผิวมากกว่าท่อคาร์บอนนาโน 2 เท่า มีคุณสมบัติแข็งแรงกว่าเหล็ก 200 เท่าและแกร่งกว่าเพชรที่เคยได้ชื่อว่าเป็นวัสดุที่แข็งที่สุดในโลก ยืดหยุ่นได้ดี และยังมีคุณสมบัติที่ค้นพบใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้นำไปสู่การประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย

                              หนึ่งในการประยุกต์คือผลิตขึ้นเป็นเซนเซอร์ ซึ่งทีมวิจัยของ ดร.อดิสรได้นำกราฟีนที่สังเคราะห์ขึ้นกระบวนการทางเคมีไฟฟ้าผสมเข้ากับพอลิเมอร์ ได้เป็นน้ำหมึกสำหรับใช้พิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์หรือเซนเซอร์ ซึ่งมีความบริสุทธิ์มากกว่าที่มีการวิจัยในโลกและยังเป็นวิธีการใหม่ของโลกที่ไม่เหมือนที่อื่น โดยทางทีมวิจัยกำลังยื่นจดสิทธิบัตรเทคนิคการสังเคราะห์ดังกล่าว

                              การสังเคราะห์กราฟีนของทีมวิจัยเนคเทคนั้นแตกต่างจากสังเคราะห์ของ ดร.ไกม์ โดย ดร.อดิสรเล่าวว่า ผู้เป็นเจ้าของรางวัลโนเบลปีล่าสุดได้สังเคราะห์กราฟีนขึ้นโดยใช้เทปกาวลอกชั้นคาร์บอนออกจากกราไฟต์ ซึ่งเป็นวิธีที่สร้างความฮือฮาอย่างยิ่ง ในตอนแรกเขาส่งผลงานตีพิม์ลงวารสารเนเจอร์ (Nature) แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากไม่เชื่อว่าทำได้จริง เขาจึงส่งไปตีพิมพ์ลงวารสารไซน์ (Science) แทน

                              ส่วนวิธีการที่ทีมวิจัยเนคเทคพัฒนาขึ้นมานั้นเป็นกระบวนการเคมีไฟฟ้า ซึ่ง ดร.อดิสรเล่าว่า เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำ และยังขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรมได้ง่าย ในขณะที่วิธีของ ดร.ไกม์นั้นแม้จะง่ายและถูกเช่นกัน แต่ขยายการผลิตได้ยากกว่า อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ยังไม่ใครที่ผลิตแผ่นกราฟีนที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 1 ตารางเซนติเมตร

                              “เราทำมา 6 เดือนแล้วแต่ไม่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำ แต่พอได้หลักฐานจากกล้องเอเอฟเอ็ม* เห็นความหนาของชั้น 0.7-1 นาโนเมตร ซึ่งอยู่ในความหนาของกราฟีน 1-2 ชั้น และภาพขยายแสนเท่าจากกล้องทีอีเอ็ม** เราจึงมั่นใจ” ดร.อดิสรกล่าว และบอกว่า เบื้องต้นทางทีมวิจัยจะทดลองใช้เป็นเซนเซอร์สำหรับวัดกลูโคสและคอเลสเตอรอลก่อน

                              *จุลทรรศน์แรงอะตอม (atomic force microscope, AFM)
                              ** จุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน (Transmission Electron microscope: TEM)

                              Credit manager.co.th

                              Comment

                              Working...
                              X